ในปัจจุบันโลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนส่งผลกระทบต่อผู้คนมากมายและปัญหาหลักๆที่เรายังแก้ไม่ได้แต่ก็หนีไม่พ้นอยู่ดีนั่นคือ ภาวะโลกร้อน ฉะนั้นเราจึงต้องมีการปรับตัวโดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตเพื่อความอยู่รอดในสภาวะแบบนี้ แต่ปัญหาก็ตามมาอีกว่าแล้วเราจะใช้ชีวิตอย่างไรหรือเราต้องปรับเปลี่ยนอะไรมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นเมื่อเกิดคำถามแบบนี้เราควรกลับไปมองย้อนไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นว่าต้นเหตุของปัญหาเกิดได้อย่างไร
อย่างที่เราทราบกันดีว่าจริงๆแล้วตัวการสำคัญซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อน คงไม่พ้นมนุษย์เราเอง เนื่องจากพฤติกรรม การกระทำต่างๆที่อาจเกิดขึ้นเพื่อความสะดวกสบายของตนเองจนละเลยการดูแล อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการทำลายธรรมชาติอย่างการตัดไม้ทำลายป่า การปล่อยน้ำเน่าเสียหรือสารเคมีลงในแม่น้ำ หรือการพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความก้าวหน้าขึ้น จนเกิดข้าวของเครื่องใช้ที่สร้างมลพิษให้แก่โลก เช่น พาหนะยานยนต์ต่างๆ ทั้ง รถยนต์และจักรยานยนต์ อีกบรรจุภัณฑ์จากพลาสติก โฟม ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยของการเกิดภาวะโลกร้อน เพราะควันจากท่อไอเสีย ควันจากการเผาขยะจะกลายเป็นก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ขึ้นไปรวมตัวกันอยู่บนชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นปรากฏการณ์เรือนกระจกบวกกับต้นไม้ ป่าไม้ที่โดนตัดไปทำให้มลพิษต่างๆไม่ถูกดูดซึมไปเปลี่ยนเป็นออกซิเจน ถ้าเราลองคิดต่อไปถึงอนาคต หากหลายคนยังไม่รู้จักใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและรักษาธรรมชาติ สภาพโลกของเราในภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร หากเรายังมีพฤติกรรมแบบนี้ต่อโลกแล้วโลกจะให้อะไรต่อเรา
ทีนี้การที่เราจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตจากเดิมไปเลยภายในวันเดียวคงเป็นไปไม่ได้ เราต้องใช้เวลาค่อยๆเป็นค่อยๆไป และเรียนรู้ไปทีละนิด ส่วนสิ่งที่เราควรเปลี่ยนก็คือเรื่องการประหยัด ดังนั้นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงทำให้เรารู้จักพอประมาณคือไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น และไม่ใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย ทำให้เรารู้จักมีเหตุผลคือ รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล และคิดอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ยังสอนให้เรามีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีคือ เตรียมพร้อมรับมือต่อเหตุการณ์ต่างๆที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในอนาคต
ถ้าทุกๆคนคิดที่จะเปลี่ยนการปฏิบัติตัว ก็เหมือนโลกเราได้รับการเปลี่ยนแปลงและเกิดผลไปในทางที่ดีขึ้น แล้ววันนี้เราจะเลือกทางไหนให้กับอนาคตของพวกเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น